ปัจจุบันรถกอล์ฟมี 2 แบบหลัก คือรถกอล์ฟไฟฟ้าและรถกอล์ฟน้ำมัน โดยรถแต่ละแบบ มีคุณสมบัติตอบโจทย์การใช้งานที่ต่างกัน ซึ่งหากคุณมีข้อมูลสำหรับตัดสินใจอย่างรอบด้าน จะช่วยให้คุณประเมินข้อดีและข้อด้อย จนสามารถเลือกรถกอล์ฟ ที่เหมาะกับรูปแบบการใช้งาน ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
1. รถกอล์ฟไฟฟ้า
1.1 ข้อดี
- ผู้โดยสารนั่งสบาย ไม่สะเทือน
- เครื่องยนต์รถกอล์ฟเดินเงียบ ไม่รบกวนการสนทนาระหว่างเดินทาง
- ราคาแบตเตอรี่รถกอล์ฟค่อนข้างเสถียร สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายได้
- ค่าชาร์จไฟประมาณ 8 บาทต่อครั้ง จึงประหยัดค่าใช้จ่ายต่อรอบมากกว่า
- รถกอล์ฟไฟฟ้าราคาถูกกว่า ในแง่ของการบำรุงรักษา เพราะโอกาสเกิดปัญหาทางเทคนิคน้อยกว่า
- ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องประจำปี
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
1.2 ข้อเสีย
- ต้องวางแผนก่อนการใช้งาน เพราะต้องการเวลาชาร์จแบตเตอรี่
- หากแบตเตอรี่หมดขณะเดินทาง อาจสร้างความยุ่งยากในการเคลื่อนย้าย
- ประเมินอายุแบตเตอรี่ค่อนข้างยาก ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน และการบำรุงรักษา
- อาจไม่เหมาะสำหรับทำเลที่ลาดชันมาก
2. รถกอล์ฟน้ำมัน
2.1 ข้อดี
- เครื่องยนต์รถกอล์ฟน้ำมัน เร่งเครื่องได้แรงกว่า
- เหมาะกับการขับขี่ทางลาดชัน อย่างพื้นที่เนินเขา, เขาสูง
- วิ่งได้ระยะทางไกลกว่า เมื่อเทียบการเติมพลังงานแต่ละครั้ง
- สามารถเติมน้ำมันได้สะดวก หากน้ำมันหมดระหว่างทาง
- ไม่เสียเวลาชาร์จแบตเตอรี่
2.2 ข้อเสีย
- เครื่องยนต์มักมีเสียงค่อนข้างดัง เมื่อเทียบกับรถกอล์ฟไฟฟ้า
- ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ขณะโดยสารมากกว่า
- การบำรุงรักษาซับซ้อน และยุ่งยากมากกว่า
- ถังน้ำมันมีโอกาสรั่วซึมได้
- ราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการตลาด
- สร้างก๊าซที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ
- ก่อให้เกิดมลพิษกับสิ่งแวดล้อม
3. รถกอล์ฟแบบไหน ตอบโจทย์การใช้งาน ?
3.1 บริการผู้โดยสารสนามกอล์ฟ
รถกอล์ฟไฟฟ้าราคาถูกกว่า ทั้งในแง่ของพลังงานและการบำรุงรักษา ช่วยคุณประหยัดต้นทุนได้มากกว่า โดยรถที่ใช้งานในสนามกอล์ฟนั้น ต้องคำนึงถึงความสบายของผู้โดยสารเป็นสำคัญ จึงไม่จำเป็นต้องใช้รถที่มีอัตราเร่งมากนัก
3.2 รับ – ส่งลูกค้า โครงการอสังหาริมทรัพย์
หากคุณต้องการปิดการขายให้ได้ คงต้องการรถกอล์ฟที่เปิดโอกาสให้สนทนาได้อย่างเต็มที่ ฟังเสียงได้ชัดเจน เครื่องยนต์เสียงไม่ดัง ซึ่งรถไฟฟ้าตอบโจทย์ในจุดนี้ นอกจากนี้การใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร ในแง่ของการใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย
3.3 เคลื่อนย้ายผู้ป่วย ในสถานพยาบาล
แน่นอนว่าสถานพยาบาลทุกแห่ง ต้องนึกถึงสุขภาพของผู้โดยสารเป็นอันดับแรก จึงควรเลือกใช้รถกอล์ฟที่ไม่สร้างก๊าซพิษ ไม่เป็นอันตรายต่อบรรยากาศโดยรวม ดังนั้นการเลือกใช้งานรถกอล์ฟใช้ไฟฟ้า จึงเหมาะสมมากกว่า
3.4 เดินทางในโรงงาน
โรงงานในทุกภาคการผลิต มีเครื่องจักรจำนวนมาก ที่ต้องบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดปี จึงควรลดภาระของฝ่ายซ่อมบำรุง ด้วยการใช้รถที่มีเครื่องยนต์และอะไหล่ ที่ดูแลรักษาง่ายอย่างรถไฟฟ้าสำหรับโรงงาน ซึ่งจะช่วยลดภาระในการดูแลไปได้อีกขั้น
4. รถกอล์ฟไฟฟ้า VS รถกอล์ฟน้ำมัน แบบไหนคุ้มกว่ากัน ?
- ความพอใจของผู้โดยสาร
รถกอล์ฟแบบที่ใช้ไฟฟ้าจะสร้างเสียงรบกวน, การสั่นสะเทือน และมลพิษน้อยกว่ารถกอล์ฟน้ำมัน จึงมีแนวโน้มสร้างความประทับใจ และความพอใจได้มากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้มค่า จนไม่สามารถประเมินราคาได้ โดยเฉพาะหากคุณเป็นสายงานที่เน้นการบริการ อย่างโรงแรม, รีสอร์ต, โครงการบ้านจัดสรร หรือสนามกอล์ฟ - อัตราค่าใช้จ่าย
หากเทียบระยะทางเท่ากัน ค่าใช้จ่ายรถกอล์ฟไฟฟ้าราคาถูกกว่า โดยชาร์จไฟ 1 ครั้งเสียค่าใช้จ่าย 8 บาทวิ่งได้ 100 กิโลเมตร ในขณะที่รถกอล์ฟน้ำมัน มีถังจุ 20 – 25 ลิตร เสียค่าน้ำมัน 600 – 750 บาท เฉลี่ยค่าใช้จ่ายจะอยู่ราว 250 – 313 บาทต่อ 100 กิโลเมตร ซึ่งแพงกว่ารถไฟฟ้า 30 – 40 เท่าเลยทีเดียว - ระยะทางที่วิ่งได้
เมื่อเติมน้ำมัน 1 ครั้ง รถกอล์ฟน้ำมันจะวิ่งได้ราว 200 – 240 กิโลเมตร ในขณะที่การชาร์จรถไฟฟ้า 1 ครั้ง จะวิ่งได้ประมาณ 70 – 100 กิโลเมตร ซึ่งอาจคุ้มเกินพอแล้ว สำหรับการใช้งานทั่วไปในแต่ละวัน - อัตราเร่งเครื่องยนต์
หากเปรียบเทียบเครื่องยนต์รถกอล์ฟน้ำมัน กับรถไฟฟ้ารุ่นเก่า มักจะพบว่ารถที่ใช้น้ำมันเร่งเครื่องได้ดีกว่า แต่หากเทียบกับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่นิยมใช้แบตเตอรี่รถกอล์ฟ 48 โวลต์ อัตราการเร่งก็แทบไม่ต่างกันเลย - การดูแลรักษา
รถกอล์ฟที่ใช้น้ำมัน มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนมากกว่า จึงต้องอาศัยช่างที่มีความชำนาญ บางครั้งอาจต้องส่งเข้าศูนย์ เสี่ยงเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจทำให้บัญชีติดลบได้
เมื่อมองในภาพรวมแล้ว พบว่าการใช้งานรถกอล์ฟที่ใช้ไฟฟ้าคุ้มค่ากว่า ช่วยลดต้นทุนพลังงาน, ลดต้นทุนการบำรุงรักษา, ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย และยังสร้างความประทับใจให้กับผู้โดยสารได้มากกว่าด้วย
5. สรุป
รถกอล์ฟไฟฟ้า ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการซ่อมบำรุง ช่วยสร้างความสบายให้กับผู้โดยสารได้มากกว่า แต่อาจต้องมีเวลาสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่รถกอล์ฟ ในขณะที่รถกอล์ฟน้ำมันส่วนใหญ่ ขึ้นลงทางชันและเร่งเครื่องได้ดีกว่า สามารถวิ่งได้เลยหลังเติมน้ำมัน แต่ค่าน้ำมันกลับแพงกว่าค่าชาร์จไฟเกือบ 40 เท่า ที่สำคัญคือสร้างมลพิษแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นรถไฟฟ้าจึงดูเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า ซึ่งหากคุณสนใจ สามารถติดต่อ KTPAN เพื่อขอรับคำปรึกษาและรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ครับ